วิธีเลือกมหาวิทยาลัยเรียนต่อให้เหมาะกับอาชีพในฝัน
เนื้อหานี้ Education for Success ขอต่อยอดจากขั้นตอนที่น้องนักเรียนได้อ่านไปแล้วในบทความ วางแผนการเรียนรู้ เพื่อเส้นทางสู่จุดหมายอาชีพในฝัน พร้อมเพิ่มรายละเอียดเรื่องการเลือกเรียนต่อจากวิชาที่ถนัดและ ตัวอย่างมหาวิทยาลัยโดดเด่น สำหรับสาขาหรือคณะยอดนิยมในไทย เพื่อช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น น้องๆ จะได้มีข้อมูลเพื่อวางแผนทั้งเกรดและการสมัครเรียนต่อได้อย่างมั่นใจมากขึ้น!
1. รู้จักตัวเองกันก่อน (Understanding Your Own Goals)
เป้าหมาย: เช็กหัวใจของเราว่าอยากเรียนอะไร และมุ่งไปทางไหนกันแน่
-
ชอบอะไรกันแน่ (Identify Personal Interests)
-
ลองตั้งคำถามง่ายๆ กับตัวเองว่า เราชอบทำอะไรที่รู้สึก “อิน” ไม่เบื่อ
-
ยกตัวอย่าง: ชอบวาดรูป ชอบทดลองวิทยาศาสตร์ ชอบทำกิจกรรมเกี่ยวกับธุรกิจ ฯลฯ
-
การรู้ว่าเรา “ชอบอะไรมากที่สุด” จะเป็นแนวทางเบื้องต้น ว่าควรมุ่งเรียนต่อสาขาไหน
-
-
จุดแข็งกับจุดอ่อน (Assess Your Strengths and Weaknesses)
-
จุดแข็ง: ถนัดพูด, เขียน, คำนวณ, ประดิษฐ์ ฯลฯ
-
จุดอ่อน: ไม่ถนัดเรื่องภาษาที่สอง, คณิตศาสตร์, หรือทักษะอื่นๆ
-
เมื่อแยกแยะได้ชัดเจน ก็จะประเมินว่า “สาขาไหน” เข้าทาง หรือ “สาขาไหน” ต้องใช้ความพยายามเพิ่ม
-
-
จินตนาการภาพอาชีพในฝัน (Set a Career Vision)
-
ถ้ายังไม่แน่ใจอาชีพในอนาคต ลองดูภาพใหญ่ก่อนว่าชอบสายวิทย์-สุขภาพ, วิศวกรรม, ธุรกิจ, นิเทศศาสตร์ หรืออื่นๆ
-
เมื่อพอจับทิศทางได้ ค่อยไล่ว่า “แต่ละเส้นทาง” ต้องเรียนอะไรบ้าง แล้วเช็กตัวเองว่าพร้อมหรือเปล่า
-
TIP: ถ้า “ไม่รู้จริงๆ ว่าชอบอะไร” edu- แนะนำให้ออกไปลองกิจกรรมหลายๆ แบบ เช่น ชมรมภายในโรงเรียน แข่งขันวิชาการ หรือเข้าค่ายต่างๆ จะช่วยให้เจอสิ่งที่จุดประกายให้เราได้!
2. แอบสืบเส้นทางอาชีพ (Researching Potential Career Paths)
เป้าหมาย: หาข้อมูลเชิงลึกเพื่อรู้ว่าแต่ละสายงานหรืออาชีพที่เล็งไว้เป็นยังไง
-
อ่านและดูเรื่องราวจากตัวจริง (Real-Life Stories)
-
หนังสือ บทสัมภาษณ์ วิดีโอ YouTube หรือพอดแคสต์สายอาชีพ
-
ฟังสกิลที่ต้องใช้ ปัญหาที่พบเจอ เพื่อเทียบกับ “ความเป็นเรา” ว่าเข้ากันมั้ย
-
-
คุยกับมือโปรหรือคนที่เคยเรียน (Talk to People)
-
ถามรุ่นพี่ เพื่อนของครอบครัวที่ทำงานในสายที่เราสนใจ
-
“พี่เรียนอะไรมาก่อน?” “งานจริงเป็นยังไง?” คำตอบจะให้มุมมองที่ละเอียดกว่าแค่ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
-
-
เช็กเงื่อนไขของอาชีพ (Required Qualifications)
-
บางอาชีพเรียนยาว เช่น สายแพทย์ สายทันตะ ฯลฯ ที่ต้องใช้เวลาเรียน + ฝึกหนัก
-
บางอาชีพต้องมีใบประกอบวิชาชีพ เช่น พยาบาล เภสัชกร สถาปนิก วิศวกร แพทย์ ครู ทนายความ นักบัญชี (อ้างอิง Wikipedia - ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ)
-
การรู้ล่วงหน้าช่วยให้เตรียมตัวเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
-
3. สำรวจมหาวิทยาลัยและสาขา (Evaluating Universities and Their Programs)
เป้าหมาย: ตามหาคณะหรือสาขาที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับเรา
-
รวบรวมรายชื่อมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนต่อ (Compile a List of Universities)
-
จดลิสต์จาก Ranking, คำบอกเล่ารุ่นพี่, เว็บไซต์ ม.ต่างๆ หรือลองค้นผ่าน TCAS ข้อมูลหลักสูตร
-
ใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อ “คัดกรอง” และ “เปรียบเทียบ” ในขั้นต่อไป
-
-
ดูความน่าเชื่อถือ (Check Accreditation and Reputation)
-
ดูว่ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงในวงการไหม (เช่น มีผลงานวิจัย หรือได้รับการรับรองวิทยฐานะ)
-
โดยเฉพาะสาขาที่เราสนใจ เช่น ถ้าสนใจวิศวกรรม ลองดูว่า “ม.” นี้มีห้องแล็บหรืออาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหนบ้าง
-
-
ส่องหลักสูตรกับแนวทางเรียน (Review Course Curriculum)
-
ถึงจะชื่อสาขาเดียวกัน แต่การสอนอาจต่างกันในแต่ละมหาวิทยาลัย
-
บางที่เน้นภาคปฏิบัติ บางที่เน้นวิชาการ ต้องเลือกให้เข้ากับสไตล์การเรียนของเรา
-
4. เช็กคุณสมบัติที่ต้องใช้ในการสมัครเรียนต่อ (Considering Admission Requirements)
เป้าหมาย: รู้ว่าต้องเตรียมอะไรก่อนสมัครเรียนต่อ จะได้ไม่พลาดโอกาส
-
เกรดหรือ GPA ขั้นต่ำ (Minimum Grades or GPA)
-
หลายคณะกำหนดเกรดเฉลี่ยรวมขั้นต่ำ หรือบางทีกำหนดเกรดบางวิชา (เช่น คณิต วิทย์ อังกฤษ)
-
ถ้าเกรดยังไม่ถึง ให้เร่งปรับตัวเพิ่มความรู้ก่อนช่วงโค้งสุดท้าย เพราะถ้าช้าไปอาจมองหาช่องทางสอบเข้าพิเศษอื่นๆ
-
-
สอบมาตรฐาน (Standardized Tests)
-
เช่น TCAS, วิชาสามัญ, O-NET, GAT/PAT, SAT, IELTS หรือการสอบภาษาอังกฤษอื่นๆ
-
ตรวจสอบให้ชัดเจนว่า “คณะที่หมายตา” เพื่อเรียนต่อต้องการคะแนนสอบอะไรบ้าง และวางแผนเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
-
-
เอกสารประกอบการสมัคร (Application Materials)
-
Essay, Personal Statement, Portfolio, จดหมายรับรองผลงาน ฯลฯ
-
ใครที่สาขาสายศิลปะ-ออกแบบ อาจต้องเริ่มเก็บงานและคัดผลงานเจ๋งๆ ตั้งแต่ ม.ปลาย
-
5. เตรียมแผนการเงินให้ดี (Budgeting and Financial Planning)
เป้าหมาย: อย่าให้เรื่องค่าเทอมและค่าใช้จ่ายกลายเป็นปัญหาจนทำให้เราอดเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่เป้าหมายไว้
-
ค่าเทอม ค่าเรียน (Calculate Tuition and Fees)
-
ม. เอกชนหรือหลักสูตรอินเตอร์มักมีค่าเทอมที่สูงกว่า
-
แต่บางที่อาจมีทุนให้ ถ้าพอร์ตเราแน่นหรือมีผลการเรียนดี การขอทุนสามารถลดภาระการเงินได้เยอะ
-
-
ค่ากินอยู่ (Living Costs)
-
ถ้าเรียนในเมืองใหญ่ ค่าหอพัก/ค่าเดินทาง/ค่าอาหาร อาจสูงกว่า
-
ต้องประเมินว่าถ้าอยู่ไกลบ้านจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างไร
-
-
ทุนการศึกษา (Scholarships and Grants)
-
ทั้งทุนการศึกษาจากรัฐ ทุนเอกชน หรือทุนของมหาวิทยาลัยเอง ก็ช่วยแบ่งเบาการเงินได้
-
อย่าลืมสอบถามและค้นหาทุนเสมอ เพราะ “ทุนการศึกษา” ก็เหมือนของขวัญที่ช่วยลดภาระครอบครัวได้มาก
-
6. สถานที่ตั้งและบรรยากาศมหาวิทยาลัย (Location and Campus Environment)
เป้าหมาย: เลือกที่อยู่ที่เรามีความสุขและสามารถตั้งใจเรียนได้เต็มที่
-
ใกล้บ้านหรือไกลบ้าน (Geographical Preference)
-
อยู่บ้านสะดวกประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เรียนไกลก็ได้ฝึกใช้ชีวิตแบบใหม่ ได้เจอสังคมใหม่ๆ
-
ลองชั่งน้ำหนักว่าตัวเองเหมาะแบบไหน
-
-
ขนาดและวัฒนธรรมในมหาวิทยาลัย (Campus Size and Culture)
-
ม. ใหญ่: กิจกรรมเยอะ สังคมหลากหลาย แต่คนอาจเยอะจนดูวุ่นวาย
-
ม. เล็ก: อบอุ่น ใกล้ชิดเพื่อนและอาจารย์ แต่กิจกรรมอาจน้อยกว่า
-
ถ้ามหาวิทยาลัยจัดงาน Open House แนะนำให้ไป “ลองสัมผัส” บรรยากาศจริงเลย
-
-
โอกาสฝึกงานกับบริษัท (Internship and Industry Connections)
-
บางมหาวิทยาลัยมีคอนเนกชันกับบริษัทชั้นนำ ได้สมัครฝึกงานง่าย เปิดโอกาสสมัครเข้าทำงานต่อในอนาคต
-
ถ้าสายอาชีพที่เราเล็ง ต้องมีประสบการณ์การทำงาน การฝึกงานนี่ก็เป็นปัจจัยสำคัญมาก
-
7. ทีมอาจารย์และเครือข่ายศิษย์เก่า (Quality of Teaching Staff and Alumni Network)
เป้าหมาย: ได้เรียนกับกูรูและได้รับแรงหนุนจากรุ่นพี่ในอนาคต
-
โปรไฟล์อาจารย์ (Faculty Expertise)
-
ดูผลงานวิจัย หรือประสบการณ์ทำงานนอกห้องเรียนของอาจารย์
-
ถ้าได้เรียนกับมืออาชีพสายตรง จะได้องค์ความรู้ที่ใช้จริงได้ ในตลาดงาน
-
-
สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษา (Student-Faculty Ratio)
-
ถ้าอาจารย์น้อยแต่นักศึกษาเยอะ อาจเข้าถึงอาจารย์ยาก
-
ถ้าสัดส่วนพอเหมาะ เราจะได้ใกล้ชิดอาจารย์ ซักถามได้ละเอียด
-
-
เครือข่ายศิษย์เก่า (Alumni Support)
-
ถ้าศิษย์เก่าเยอะและประสบความสำเร็จ จะมี Connection ในวงการ
-
โอกาสได้คำแนะนำ หรือแม้แต่รับเข้าทำงานก็มีสูง
-
8. ลดลิสต์เหลือแค่ที่ใช่ (Making a Shortlist and Prioritizing)
เป้าหมาย: ตีกรอบให้แคบลง โฟกัสตัวเลือกคณะที่เหมาะและมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์
-
จัดทำตารางเปรียบเทียบ (Create a Decision Matrix)
-
ใช้ Excel หรือ Google Sheets
-
หัวข้อเปรียบเทียบ: ชื่อ ม., สาขา, เกรดขั้นต่ำ, ค่าธรรมเนียม, สภาพแวดล้อม, ทุน, ฯลฯ
-
-
จัดอันดับตามคะแนน (Compare Scores)
-
กำหนดน้ำหนักให้แต่ละปัจจัย เช่น ถ้าน้องให้ความสำคัญเรื่อง “ค่าเทอม” มาก ก็ให้น้ำหนักเยอะหน่อย
-
จะทำให้เรารู้ชัดว่า “ที่ไหน” เหมาะกับเราที่สุด
-
-
ปรึกษาคนรอบข้าง (Seek Advice)
-
เอาตารางไปคุยกับครอบครัว คุณครู หรือเพื่อนสนิทที่รู้จักเรา
-
เพื่อได้ฟังมุมมองหลากหลาย จะช่วยให้ตัดสินใจได้มั่นใจมากขึ้น
-
9. ตัดสินใจสมัครและก้าวสู่ขั้นต่อไป (Final Decision and Next Steps)
เป้าหมาย: เลือกแล้วต้อง “ลงมือ” สมัคร ลุยเลย!
-
มหาวิทยาลัยในฝัน (Apply to a Few ‘Reach’ Universities)
- อย่าเพิ่งถอดใจถ้าคะแนนสูงหรือการแข่งขันดุเดือด สมัครไว้ก่อน เผื่อฟลุกติดหรือได้ทุน
-
ตัวจริง (Match) และตัวรอง (Safe)
-
เลือก ม. ที่เราพอมีหวังสูงไว้ด้วย และเลือกอีกแห่งที่เราชัวร์ได้แน่
-
กระจายความเสี่ยง ลดความเครียด และเพิ่มโอกาสสำเร็จ
-
-
จัดระเบียบเอกสารและเดดไลน์
-
กางปฏิทินจดวันปิดรับสมัคร วันสอบ วันส่งผลงาน ฯลฯ
-
ห้ามพลาดวันสำคัญ เพราะอาจพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย
-
10. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และเดินหน้าต่อ (Stay Flexible and Open-Minded)
เป้าหมาย: เผื่อใจว่าคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ และใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยให้คุ้มค่า
-
อาจเปลี่ยนใจได้ (Life Changes)
-
บางทีเรียนไปแล้วพบว่ามีสาขาที่ใช่กว่า ไม่ได้ผิดอะไรถ้าอยากย้ายคณะหรือเปลี่ยนเส้นทาง
-
แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าในเวลาและค่าเทอมด้วย
-
-
เรียนรู้ตลอดเวลา (Continuous Learning)
-
มหาวิทยาลัยไม่ใช่จุดสิ้นสุด สายงานหลายด้านต้องอัปสกิลตลอด และมีใบ certificate ที่ต้องสอบเพื่อวัดความสามารถเฉพาะทาง
-
เข้าร่วมกิจกรรม ชมรม Workshop และงานพิเศษต่างๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์
-
-
คิดบวกเข้าไว้ (Stay Positive)
- ไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ 100% แต่ถ้าเราใส่ใจและมี Passion ก็ทำให้จุดที่เราอยู่ เป็นเวทีแจ้งเกิดเราได้เสมอ
เน้นคะแนน GPA ยังไงดี ให้ตรงสาย?
การวางแผนเกรดเฉลี่ย GPA จะช่วยให้เรามีโอกาสเข้าคณะที่ต้องการได้ง่ายขึ้น มาดูว่า แต่ละสายอาชีพ ต้องโฟกัสวิชาไหนเป็นพิเศษบ้าง:
-
สายวิทย์สุขภาพ (แพทย์/ทันตะ/พยาบาล/เภสัช)
-
วิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา, เคมี) และ คณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลักมาก
-
GPA วิชาวิทย์ควรสูงเพื่อให้มีโอกาสผ่านเกณฑ์ของคณะ
-
บางมหาวิทยาลัยดู “คะแนนสอบ” มากกว่าดู GPA แต่ถ้าเกรดดี ยื่นสมัครก็เด่น
-
-
สายวิศวกรรม
-
คณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์ สำคัญสุดๆ
-
GPA รวมควรอยู่ในระดับดี (บางที่อาจตั้งขั้นต่ำ ~3.00)
-
หากคะแนน PAT3 (สำหรับระบบ TCAS) หรือคะแนนคณิต-ฟิสิกส์อื่นๆ สูง ก็ช่วยได้มาก
-
ลองอ่านอาชีพ AI Engineer กำลังเป็นที่ความต้องการของบริษัทระดับโลก
-
-
สายธุรกิจ/บัญชี/การตลาด
-
ควรมีพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ระดับหนึ่ง (เพราะเกี่ยวกับตัวเลขและการคำนวณ)
-
ภาษาอังกฤษ ก็สำคัญ เพราะเนื้อหาทางธุรกิจอัปเดตตลอดโลก
-
ถ้า GPA สายสังคมและเลขดี จะเป็นจุดแข็งในการคัดเลือก
-
ลองอ่านออกแบบเส้นทางส่วนตัวสู่การเป็นเจ้าของกิจการ สร้างธุรกิจของตัวเอง
-
-
สายศิลปกรรม/ออกแบบ/นิเทศศาสตร์
-
บางที่อาจไม่เน้น GPA ตัววิชาวิทย์-คณิตมาก แต่จะดู Portfolio ผลงาน เป็นหลัก
-
วิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็ยังสำคัญ เพราะต้องสื่อสารและทำงานกับสื่อหลายรูปแบบ
-
ลองอ่านทำไมต้องมี “แผนการเรียน” สำหรับสายออกแบบและการสร้างสรรค์
-
-
สายมนุษยศาสตร์/สังคมศาสตร์/อักษรศาสตร์
-
เน้น ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ เป็นหลัก เพราะต้องใช้ทักษะอ่าน-เขียนเยอะ
-
เกรดรวมดีๆ และคะแนนภาษาไม่ต่ำ จะมีภาษีกว่าเวลายื่นสมัคร
-
ตัวอย่างมหาวิทยาลัยเด่น (ในแต่ละสาย)
หมายเหตุ: นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่มักถูกพูดถึงในวงกว้าง ควรตรวจสอบข้อมูลอัปเดตจากเว็บไซต์ทางการของแต่ละมหาวิทยาลัยเสมอ
-
สายวิทย์สุขภาพ
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์, ทันตแพทยศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์, พยาบาลศาสตร์, เภสัชศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (คณะแพทยศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยขอนแก่น (คณะแพทยศาสตร์)
-
-
สายวิศวกรรม
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วิศวฯ)
-
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT)
-
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (KMUTNB)
-
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิศวกรรมศาสตร์)
-
-
สายธุรกิจ/บัญชี/การตลาด
-
ธรรมศาสตร์ (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี)
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี)
-
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (คณะบริหารธุรกิจ)
-
มหาวิทยาลัยมหิดล (วิทยาลัยการจัดการ)
-
-
สายศิลปกรรม/นิเทศศาสตร์/ออกแบบ
-
มหาวิทยาลัยศิลปากร (คณะจิตรกรรมฯ, คณะมัณฑนศิลป์ ฯลฯ)
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, นิเทศศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (นิเทศศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยรังสิต (ออกแบบนิเทศศิลป์)
-
-
สายมนุษยศาสตร์/อักษรศาสตร์
-
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะอักษรศาสตร์)
-
ธรรมศาสตร์ (คณะศิลปศาสตร์)
-
มหาวิทยาลัยศิลปากร (คณะโบราณคดี)
-
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (คณะมนุษยศาสตร์)
-
คำเตือน: ไม่ได้หมายความว่ามหาวิทยาลัยอื่นไม่ดีนะ หลาย ม. มีจุดเด่นเฉพาะทางที่อาจตอบโจทย์เรามากกว่า อย่าลืมค้นหาเพิ่มเติมเสมอ!
สรุปส่งท้าย
การเลือกมหาวิทยาลัยศึกษาต่อเพื่อให้สอดคล้องกับ “อาชีพในฝัน” ไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่ การรู้จักตัวเอง และ หาข้อมูลให้รอบด้าน จะช่วยให้น้องๆ นักเรียนมองเห็นทางที่ชัดและเหมาะกับตัวเองมากที่สุด และอย่าลืม
-
วางแผน GPA ให้เข้ากับสายที่อยากเรียน
-
เช็ก คะแนนสอบ หรือ Portfolio ที่จำเป็น
-
ประเมิน ค่าใช้จ่าย และ ทุนการศึกษา ไว้ล่วงหน้า
-
สอบถามหรือหาคำปรึกษาได้ทั้งจากครอบครัว คุณครู เพื่อน รุ่นพี่ หรือผู้เชี่ยวชาญ
สุดท้าย edu- ขอแนะนำว่าถ้าน้องมั่นใจแล้ว ก็ลุยสมัครเรียนต่อตามแผนการเรียนต่อ อย่าปล่อยโอกาสหลุดมือ หากมีอะไรติดขัดหรือสงสัย ก็ขอความช่วยเหลือได้เสมอ เพราะการเดินเส้นทางนี้ “ไม่ต้องเดินคนเดียว” และเมื่อสำเร็จแล้ว อย่าลืมกลับมาช่วยแชร์ประสบการณ์ให้รุ่นน้องต่อด้วยนะครับ!
สู้ๆ ไปพร้อมกันนะ!
ขอให้น้องๆ ทุกคนได้เจอกับคณะที่ใช่ มหาวิทยาลัยที่ชอบ และก้าวไปสู่อนาคตในฝันได้อย่างแข็งแรง!