Education for Success logo

Explorer posts by categories

เลือกเรียนต่อที่ไหนดี! ระหว่างในไทยหรือต่างประเทศ

เลือกเรียนต่อที่ไหนดี! ระหว่างในไทยหรือต่างประเทศ

สวัสดีครับน้องๆนักเรียน! วันนี้ Education for Success ขอพาน้องๆ ทุกคนมาเมาท์มอยแบบกันเองสุดๆ เกี่ยวกับหัวข้อที่หลายคนสงสัยกันบ่อยๆ เลย นั่นคือ “การเรียนต่อในไทย vs. การเรียนต่อต่างประเทศ” แบบไหนใช่สำหรับเรา? อะไรคือข้อดี-ข้อเสีย? แล้วเราจะเตรียมตัวยังไงดี? พี่ขอเล่าให้ฟังในสไตล์การบรรยายแบบสนุกๆ เข้าใจง่าย เหมือนเรากำลังทำเวิร์คช็อปด้วยกันที่โรงเรียน รับรองอ่านเพลินแน่นอน! ก็ขอให้น้องๆ ได้รับประโยชน์เต็มๆ และตัดสินใจเรียนต่อได้ง่ายขึ้นนะครับ


1. วัฒนธรรมการเรียนและการสอน (Academic Culture & Teaching Methods)

1.1 สไตล์การสอนในไทย vs. ต่างประเทศ

  • ในไทย: ส่วนใหญ่เราจะเจอรูปแบบการสอนที่คุณครูเป็นศูนย์กลาง น้องๆ มักจะฟัง จด และท่องจำ เพื่อทำคะแนนในข้อสอบให้ได้สูงๆ ถ้าคุณครูไม่ชวนน้องคุยหรือถาม บางทีก็ไม่มีการโต้ตอบกันมากนัก

  • ต่างประเทศ: ในบางประเทศทางตะวันตก เขาจะเน้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมเยอะขึ้น เช่น การถามคำถาม การอภิปรายในห้อง หรือการนำเสนอผลงาน ด้วยความที่เขาสนับสนุนให้เด็กคิดวิเคราะห์และสามารถโต้แย้งได้ ถ้าน้องคิดต่างก็ไม่มีใครว่า แถมเขาจะบอกว่า “ดีมาก! เธอมีความเห็นเป็นของตัวเอง” อีกต่างหาก

1.2 ความรับผิดชอบของนักเรียน

  • ในไทย: จะมีการบ้านหรือโครงงานที่ค่อนข้างชัดเจน คุณครูกำหนดขอบเขตให้เพื่อให้นักเรียนทำได้เร็วขึ้น แล้วเราก็แค่ทำตามขั้นตอน น้องนักเรียนก็จะรู้สึกว่าอุ่นใจ เพราะมีแนวทางชัดเจน และทำสำเร็จได้ไว

  • ต่างประเทศ: บางครั้งเขาแค่บอกหัวข้อกว้างๆ แล้วให้เราคิดเอง ว่าจะทำโครงงานหรือเขียนรายงานแบบไหน โจทย์อาจจะมีเงื่อนไขไม่กี่ข้อ เน้นให้นักเรียนคิดหาวิธีแก้ปัญหา ฝึกสกิลค้นคว้า และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ผลงานที่ออกมาก็จะหลากหลายมาก เพราะแต่ละคนตีความโจทย์ต่างกัน

1.3 ขนาดห้องเรียนและความหลากหลาย

  • ในไทย: โรงเรียนไทยหลายแห่งมีนักเรียนห้องละ 30-50 คนได้ บางครั้งอาจเยอะกว่านั้นด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆ ที่เป็นคนไทยเหมือนกัน วัฒนธรรมใกล้เคียงกันเข้าใจและทำความสนิทสนมได้ไว

  • ต่างประเทศ: น้องอาจได้เรียนในห้องที่มีนักเรียนน้อยลง (โดยเฉพาะระดับมหาวิทยาลัย) และมีเพื่อนจากหลากหลายประเทศ นี่เป็นโอกาสให้น้องได้เปิดโลกมุมกว้างขึ้น แลกเปลี่ยนความเห็นกันสนุกเลย


2. หลักสูตรและสาขาวิชา (Curriculum & Subjects Offered)

2.1 ระดับความกว้าง vs. การเน้นสาขา

  • ในไทย: พี่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงคุ้นเคยกับการเลือกสายวิทย์-คณิต, ศิลป์-ภาษา หรือศิลป์-สังคม และต้องเรียนวิชาตามสายค่อนข้างตายตัว พอถึงป.ตรีเราก็เลือกคณะ เลือกสาขาไปเลย

  • ต่างประเทศ: อย่างในอเมริกา เด็กไฮสคูลเขามีโอกาสเลือกวิชาแบบหลากหลายกว่า บางคนเรียนทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬาก็มี แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกๆ เขาก็ยังให้เวลาค้นหาตัวเองต่อ สุดท้ายถึงจะเลือกเมเจอร์หลัก บางคนกว่าจะรู้ว่าชอบอะไรหรือถนัดอะไรก็ปาไปปีสองปีสาม

2.2 วิชาเลือกและกิจกรรมนอกห้องเรียน

  • ในไทย: แม้ว่าบางโรงเรียนจะมีชมรมหรือกิจกรรมเยอะ แต่ถ้าเทียบกับต่างประเทศ บางทีก็อาจจะไม่ได้หลากหลายเท่า อาจเจอชมรมพื้นฐาน เช่น ดนตรี กีฬา บางที่อาจมีหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์บ้าง แต่ไม่ทั่วถึง

  • ต่างประเทศ: เขาให้ความสำคัญกับกิจกรรมหลากหลายตั้งแต่กีฬาถึงชมรมการละคร มีทั้งดีเบต โรโบติกส์ ชมรมอาสา ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เด็กค้นพบความสามารถที่นอกเหนือจากวิชาการ เป็นเหมือนพื้นที่ให้เราลองผิดลองถูก


3. ภาษาและทักษะการสื่อสาร (Language & Communication Skills)

3.1 สภาพแวดล้อมทางภาษา

  • ในไทย: เราได้ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องกังวลว่าจะสื่อสารไม่ได้ แต่ข้อเสียคือน้องอาจไม่ได้ฝึกภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น ยกเว้นจะเรียนในโปรแกรมสองภาษา (EP) หรือ Inter

  • ต่างประเทศ: ถ้าน้องไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สอง (เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น ฯลฯ) น้องก็ต้องงัดสกิลออกมาใช้เต็มที่ ตั้งแต่ซื้อข้าวยันทำรายงานในห้อง ไม่ได้ใช้ไม่ได้กินนะจ๊ะ มันเลยช่วยให้เก่งขึ้นเร็ว เพราะเป็นการฝึกภาคปฏิบัติจริงทุกวัน

3.2 การสื่อสารและวัฒนธรรม (Cross-Cultural Communication)

  • ในไทย: ถ้าน้องเรียนในไทย ก็ต้องสื่อสารกับเพื่อนและครูที่เป็นคนไทยส่วนใหญ่ ทำให้เราอาจจะคุ้นชินกับวัฒนธรรมเดียว ไม่ได้ฝึกปรับตัวมาก แต่จะเรียนรู้วัฒนธรรมในเชิงลึกได้ดี ได้ร่วมงานพิธีหรือประเพณีของไทย

  • ต่างประเทศ: ได้เจอเพื่อนต่างชาติหลากหลาย สำเนียงก็หลากหลาย บางทีน้องจะเจอเพื่อนจีน เพื่อนอินเดีย เพื่อนอเมริกัน เพื่อนยุโรป ต้องฟังอย่างตั้งใจเลยนะ แต่บอกเลยว่ามันส์มาก ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอื่นในเวลาเดียวกันด้วย


4. ค่าใช้จ่ายและการสนับสนุนทางการเงิน (Costs & Funding)

4.1 ค่าเทอมและค่าครองชีพ

  • ในไทย: โรงเรียนและมหาวิทยาลัยของรัฐมีค่าเทอมที่อาจจะย่อมเยากว่า และถ้าเป็นเอกชนหรืออินเตอร์ในไทยก็อาจยังถูกกว่าต่างประเทศอยู่มาก

  • ต่างประเทศ: ค่าเทอมต่างประเทศค่อนข้างสูง ถ้าน้องไปอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือบางประเทศในยุโรป ค่าครองชีพก็สูงตามไปด้วย อย่างค่าหอพัก ค่ากิน ค่าเดินทาง ต้องมีเงินเก็บหรือผู้ปกครองสนับสนุนพอสมควร

4.2 ทุนการศึกษาและการช่วยเหลือ (Scholarships & Financial Aid)

  • ในไทย: ยังมีทุนให้เด็กไทยไปเรียนต่อเยอะ เช่น ทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย หรือทุนจากองค์กรเอกชน แต่ก็แข่งขันสูง

  • ต่างประเทศ: มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีทุนให้เด็กต่างชาติเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นทุนเต็มหรือทุนบางส่วน บางที่ดูผลการเรียน บางที่ดูความเป็นผู้นำหรือกิจกรรมเสริมด้วย ดังนั้นน้องต้องเตรียมตัวให้ดี ศึกษาก่อนสมัคร


5. ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต (Lifestyle & Independence)

5.1 ชีวิตประจำวัน

  • ในไทย: หลายคนยังอยู่กับครอบครัว ไป-กลับโรงเรียน มหาวิทยาลัย ช่วงเย็นอาจเจอเพื่อน ติวหนังสือ หรือเรียนพิเศษ ก็มีคุณพ่อคุณแม่คอยซัพพอร์ต

  • ต่างประเทศ: น้องต้องดูแลตัวเองเยอะขึ้น เช่น หอพัก เราต้องซักผ้าเอง ทำอาหารเอง (หรือหาอะไรกินเอง) จัดสรรค่าใช้จ่ายเอง เหนื่อยกว่าก็จริง แต่โตขึ้นอีกระดับ!

5.2 การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่

  • ในไทย: อยู่ในบ้านตัวเอง วัฒนธรรมเดียวกัน ไม่ต้องปรับอะไรเยอะ มีครอบครัวช่วยเสมอ

  • ต่างประเทศ: น้องอาจต้องปรับตัวกับอากาศ (หนาวมาก-ร้อนมาก), อาหาร (เค็มน้อยจืดเยอะ?), เวลานอนแตกต่างกัน ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ก็อาจมีเหงาบ้างคิดถึงบ้านบ้าง แต่ถ้าผ่านไปได้ น้องจะเรียนรู้ว่าตัวเองแกร่งขึ้นแค่ไหน


6. โอกาสด้านอาชีพและเครือข่าย (Career Opportunities & Networking)

6.1 โอกาสการทำงาน

  • ในไทย: ถ้าน้องจบในไทย ก็มีโอกาสสร้างเครือข่ายกับบริษัทหรือองค์กรในประเทศมากขึ้น เพราะเรารู้จักระบบและข้อกำหนดต่างๆ ในไทยเป็นอย่างดี

  • ต่างประเทศ: ถ้าน้องอยากได้ประสบการณ์ระดับโลก อยากลองฝึกงานหรือทำงานกับบริษัทข้ามชาติ การเรียนต่อเมืองนอกจะทำให้น้องเข้าถึงเครือข่ายระดับอินเตอร์ได้ง่ายขึ้น

6.2 สร้างเครือข่ายระดับโลก

  • ในไทย: เจอมีเพื่อนร่วมสาขา เพื่อนต่างคณะ เป็นเครือข่ายในประเทศโดยส่วนใหญ่ เป็นเรื่องดีถ้าเป้าหมายอนาคตเป็นธุรกิจภายในจังหวัดหรือภายในประเทศ

  • ต่างประเทศ: เจอเพื่อนจากหลายประเทศ พอเรียนจบ ใครไปรับตำแหน่งดีๆ ที่ไหน ก็อาจจะเป็นคอนเนกชันดีๆ ให้กันในอนาคตได้ ไม่แน่นะ วันหนึ่งน้องอาจจะร่วมลงทุนหรือร่วมทำโปรเจกต์กับเพื่อนที่เจอตอนเรียนอยู่ต่างแดน


7. การเติบโตส่วนบุคคลและ Soft Skills (Personal Growth & Soft Skills)

7.1 ความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเอง

  • ในไทย: ระบบโรงเรียนอาจเน้นวินัยและความเคารพแบบไทยๆ น้องอาจเก่งเรื่องการปฏิบัติตามกฎ แต่อาจไม่ค่อยได้ฝึกการโต้แย้งหรือแสดงความเห็นตรงไปตรงมามากนัก

  • ต่างประเทศ: น้องต้องสื่อสารด้วยภาษาอื่น ต้องกล้าพูด กล้าถาม กล้าตอบในคลาส ซึ่งจะช่วยให้มีความมั่นใจขึ้น เขาไม่ได้มองว่าการถามเป็นการขัดครู แต่มองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนไอเดีย

7.2 การเปิดกว้างต่อวัฒนธรรม (Cross-Cultural Awareness)

  • ในไทย: น้องจะรู้ลึก รู้ชัดเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ความเป็นไทยได้แนะนำเพื่อนต่างชาติ แต่เรื่องวัฒนธรรมอื่นอาจไม่ค่อยได้สัมผัสโดยตรง

  • ต่างประเทศ: เราจะได้เรียนรู้ว่าโลกมันกว้างกว่าที่คิดเยอะ น้องอาจได้ลองกินอาหารแปลกๆ ได้ลองฟังเพลงในภาษาที่ไม่เคยรู้จัก และเรียนรู้ว่าทุกวัฒนธรรมน่าสนใจหมด


8. ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการเตรียมตัว (Easy Steps for a Successful Transition)

  1. กำหนดเป้าหมาย (Assess Your Goals)

    • ถามตัวเองก่อนว่า “เราอยากได้อะไร?” อยากเน้นวิชาที่เฉพาะทางเร็วๆ หรืออยากลองหลายอย่างก่อน? อยากสร้างเครือข่ายในไทยหรืออยากได้เพื่อนต่างชาติ?

    • ถ้าน้องอยากมีโอกาสทำงานในระดับโลก การไปต่างประเทศก็เปิดโอกาสดีๆ ให้เยอะ แต่ถ้าน้องอยากฝังรากในไทย ก็อาจจะเริ่มเรียนในไทยก่อน แข็งแกร่งไม่แพ้กัน

  2. ศึกษาหาข้อมูล (Research Thoroughly)

    • เปรียบเทียบหลักสูตร ค่าเทอม บรรยากาศในมหาวิทยาลัย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

    • ตามรีวิวจากรุ่นพี่ ผ่านเว็บไซต์หรือ YouTube ก็ได้ เห็นชีวิตจริงของเด็กที่นั่นเลย

  3. วางแผนงบประมาณ (Consider Your Budget & Scholarships)

    • คำนวณค่าเทอม + ค่ากินอยู่ + ค่าเดินทาง + ค่าอื่นๆ ให้รอบด้าน

    • อย่าลืมดูทุนการศึกษาต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ บางทุนมีดีลพิเศษ หรืออาจช่วยค่าใช้จ่ายบางส่วน

  4. อัปเกรดสกิลภาษา (Develop Your Language Skills)

    • ถ้าน้องเล็งประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ก็เตรียมสอบ IELTS, TOEFL หรือเทสต์อื่นๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ

    • ฝึกพูดคุยกับเพื่อน ดูซีรีส์ ฟังเพลงต่างประเทศ เพิ่มคลังคำศัพท์ให้ตนเองได้เปรียบตอนเรียน

  5. จัดการเอกสารให้พร้อม (Stay Organized)

    • รวมเอกสารสำคัญ เช่น ทรานสคริปต์ หนังสือรับรอง แพ็กไว้ให้เรียบร้อย บางมหาวิทยาลัยขอดูหลายอย่าง

    • ทำเช็กลิสต์ไว้เลย จะได้ไม่ตกหล่น

  6. เปิดใจให้กว้าง (Keep an Open Mind)

    • ถ้าอยู่ไทย ก็ลองเข้าค่ายนักเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง หรือทำโครงการร่วมกับโรงเรียนนานาชาติ

    • ถ้าไปต่างประเทศ ก็อย่ากลัวที่จะเจอสิ่งใหม่ ลองทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ ดูว่าชอบไหม นี่แหละโอกาสได้เจอเพื่อนแท้จากทั่วโลก


สรุป (Conclusion)

การเลือกเรียนต่อในไทยหรือเรียนต่อต่างประเทศ ไม่ได้มีถูกมีผิดเสมอไป แต่มันอยู่ที่เป้าหมาย ความต้องการ และทรัพยากรของน้องๆ เอง

  • เรียนในไทย: น้องจะสะดวกสบายกับภาษาและวัฒนธรรมที่คุ้นเคย ครอบครัวอยู่ใกล้ ค่าใช้จ่ายอาจไม่สูงมาก ได้สร้างเครือข่ายในประเทศแน่นๆ

  • เรียนต่างประเทศ: น้องจะได้ฝึกภาษา ได้เปิดโลกเห็นวัฒนธรรมหลากหลาย ได้สร้างเครือข่ายระดับสากล ได้เรียนรู้ความเป็นตัวเองเร็วขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว “ความสำเร็จ” มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ประเทศที่เราเรียน แต่ขึ้นอยู่กับ “ความขยัน ทัศนคติ และการเรียนรู้ตลอดเวลา” edu- เป็นกำลังใจให้ทุกคน อย่าลืมตั้งเป้าหมายให้ชัด ลงมือทำจริง แล้วเปิดใจให้กว้าง น้องๆ จะได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่าต่อการเติบโตไม่ว่าทางไหนก็ตาม

ขอให้โชคดีสำหรับทุกการตัดสินใจ!
ถ้ามีคำถามหรืออยากแชร์ประสบการณ์เพิ่มเติม ก็คอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยนะครับ พี่พร้อมรับฟังเสมอ!
ด้วยรักและซัพพอร์ตเต็มร้อยจาก Education for Success

profile image of Saifa

Saifa

สายฟ้า (Sai Fa) is a writer based in Bangkok. He's interested in all things tech, science, photography, and games related.

Read all posts of Saifa